รีวิวตกค้าง “วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก)” อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ ต้องบอกเลยว่าทริปนี้โหดสุดๆ เพราะ GPS พาหลงทางไปด้านหลังเขาโน้น ระหว่างทางต้องเจอกับทางที่เป็นทางลูกลัง หลงเข้าไปในป่าต้นยาง ยิ่งลึกยิ่งน่ากลัว ทางแคบลงเรื่อยๆ
แต่ก็เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นในเมืองกรุง ที่นี้มีความเจอสงบ เงียบจนขนลุก เพราะความรู้สึกมันบอกว่าที่นี้น่ากลัวปรกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ลุยไปเรื่อยๆจน "หลง"
มาถึงจุดนี้เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะเริ่มเห็นที่หมายแล้วเทือกเขาภูทอก แต่งวดนี้ก็อีก ต้องเดินทางแข่งกับเวลา เพราะผมทำงานเสดก็เกือบ สี่โมงเย็นแล้ว ก็ว่าจะไปให้ทันพระอาทิตย์ตก คงจะได้รูปสวยๆ
สุดท้ายก็เจอฮีโร่ของผม ผู้ช่วยอ.บ.ต แก่ช่วยนำทางจนเจอทางออก ผมถึงได้รู้ว่า ที่ผมมาเป็นด้านหลังเขา กำจริงๆ เจ้า GPS. ยังงัยก็ต้องขอบคุณ พี่ มีชัย ไม่งั้นผมคงหลงอีกนานแน่ๆ
ในที่สุดก็มาถึง “วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก)” โห้ผมดีใจมากๆ แต่มองเวลาบนข้อมือแล้ว คงต้องรีบแล้ว 5 โมงแล้ว ไม่เคยมาด้วยไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ผมขับรถต่อเข้าไหนในวัด พอจอดรถเรียบร้อย ผมรีบเตรียมอุปกรณ์ทันที กล้อง แบ๊ตสำรอง เลนส์ 2 ตัว ช่วงหัวค่ำแบบนี้ ต้องมีขาตั้งกล้องด้วยและที่ขาดไม่ได้คงต้องมี สายลั่นชัตเตอร์
ถึงแล้วทางขึ้นเขา ระหว่างทางที่เดินไป เจอหลวงพี่ แกทักว่า มาเย็นจัง อย่าลืมพกไฟฉายไปด้วยนะ ขากลับคงค่ำพอดี ไอ้ผมนะ มีไฟฉายนะ แต่อยู่ในรถ ครั้นว่าจะเดินกลับไปคงไม่ไหว คิดว่าไฟจากมือถือก็คงไหว
แต่กำของเวรจิงๆ แบ๊ตมือถือเหลือ 8% คงไม่พอแน่ แต่ก็มาแล้วลุยเป็นลุย ผมไปต่อเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ขึ้นมาได้สักพัก ต้องนั้งพักตลอดทางเลย เหนื่อยมากร่างกายที่ สูบแต่บุหรี่ กีฬาก็ไมค่อยได้เล่น พอถึงเวลาที่ต้องใช้กำลัง มันเลยเห็นผล เหงือเต็มตัวไปหมดเสื้อเปียกเป็นน้ำเลย แต่ผมก็ต้องเดินต่อไป เพราะจะมืดแล้วเดี๋ยวไม่มีเวลาถ่ายรูป
ระหว่างทางต้องผ่านถ่ำ ทางก็แคบ ผมเดินผ่านเข้าไป กลิ่นอับของหิน บนกลิ่นขี้ค้างคาว มันชวนหัวมาก โดยปรกติแล้ว เขาภูทอกนี่มี เจ็ดชั้น ผมถึงแค่ชั้น สามก็ขาลากแล้ว แต่ก็ถือว่าเข้าใกล้ธรรมชาติก็มีความสุขแล้ว
มาถึงชั้นที่ 4 ก็มานมัสการไหว้พระ ก่อนเพราะเริ่มมืดแล้วต้องพึ่งพระ เพราะที่เหลือจากนี้จะไม่เจอใครแล้ว
พูดถึง มาที่ภูทอก นี่ผมแทบไม่ได้หาข้อมูลล่วงหน้าเลย ตัดสินใจปุ๊ปก็มา เลยไม่ค่อยจะราบลื่นเท่าไหร่ ติดปัญหาตลอด แต่ก็มาแล้ว ผมเริ่มเก็บภาพที่ล่ะภาพ ที่นี่สวยมาก เป็นวัดที่เงียบสงบ ระหว่างทางที่ถ่ายรูปไป ก็สงบจิตใจไปด้วย
เดี๋ยวยังงัยประวัติของวัดนี้ผมจะลงรายละเอียดตอนท้ายๆ นะครับ ตอนนี้ก็ดูรูปไปเพลินๆก่อน มาถึงตรงนี้ผมก็ต้งเจอปัญหาเพิ่มอีก เมื่อสายลั่นชัตเตอร์ของผมไปเกี่ยวกับต้นไม้ จนพัง หลายคนคงสงสัยว่าสายลั่นชัตเตอร์คืออะไร
มันคืออุปกรณ์ ที่ผมใช้กดชัตเตอร์โดยที่มือของผมไม่ต้องไปกดที่ตัวกล้อง เพราะเวลาที่ผมถ่ายเป็นช่วงหัวค่ำแสงสว่างมีน้อย การที่จะถ่ายรูปในที่ๆแสงน้อยมือต้องนิ่งมากไม่งั้นภาพจะเบรอ
แต่ก็ไม่เป็นไร มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องถ่ายต่อ ผมแก้ปัญหาโดยการตั้งเวลาถ่ายไว้ ขึ้นมาเรื่อยๆก็จะไม่ค่อยมีวัดแล้ว จะมีก็แต่ป่า ระหว่างที่เดินก็จะมีลิงป่าค่อยสงเสียงทักตลอดทาง บอกตรงๆนะ ผี ผมไม่กลัวแต่กลัวลิงมากกว่า กลัวมันมาหยิบของหนีขึ้นต้นไม้ และแล้วก็มาถึง...
แสงสุดท้าย บนปลายเขา ผมเริ่มเก็บภาพความทรงจำทันที่ แต่ก็แอบผิดหวังเล็กๆ ไม่ใช้ว่าที่นี่ไม่สวยนะ
แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ ชาวนา ชาวไร่ เค้าจะเผาป่าเพื่อทำไร นา ทำให้ฟ้าไม่ใสเท่าที่ควร มองไปก็ขาวโพลน แต่ก็เข้าใจเราไม่ศึกษามาให้ดีก่อน
หลังจากเก็บภาพแสงสุดท้ายไปได้สักพักผมก็เดินต่อไปด้านหลังเขา สุดท้ายผมก็ต้องระหลาดใจกับภาพที่เห็น ที่นี่มันมหัศจรรย์ มากๆ สวยจนผม ลืมเหนื่อยลืมเวลา ผมดีใจที่ได้เห็นภาพแบบนี้ สะพานไม้ที่สร้างไว้รอบเขา ให้คนได้เดินไปชมวิว
ผมเหลือบไปเห็น แลนด์มาร์คของที่นี่ สวยจิงๆ แต่ด้วยเวลาที่กระชับชิดมาเรื่อยๆ ผมจึงต้องรีบถ่ายรูปให้ได้มากที่สุด แต่ก็ลืมไปหลายมุมพอสมควร เสียดายมาก ผมบอกตัวเองเลยว่า ผมจะต้องมาที่นี่อีก "ภูทอก"
“ภูทอก” ในภาษาอีสานแปลว่า “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าภูเขาโดดเดี่ยว “ภูทอก” ก็ประกอบไปด้วยภูเขาหินทรายสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่สองลูกเรียงตัวอยู่ใกล้เคียง กัน คือ “ภูทอกใหญ่” และ “ภูทอกน้อย” นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นภูทอกทั้งสองแห่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นได้ตั้งแต่ระยะไกล
บริเวณโดยรอบภูทอกมีทัศนียภาพอันสวยงาม เงียบสงบ รายล้อมไปด้วยป่าทึบซึ่งอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด จวบจนเมื่อปี พ.ศ. 2512 “พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ” ลูกศิษย์สาย “พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ” ได้เข้ามาจัดตั้งแหล่งบำเพ็ญเพียรเพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อสร้าง “วัดเจติยาคีรีวิหาร” หรือ “วัดภูทอก” และ “สะพานนรก – สวรรค์” สะพานไม้ที่สร้างเวียนขึ้นสู่ยอด “ภูทอกน้อย” อย่างพิลึกพิลั่นมหัศจรรย์
“สะพานนรก – สวรรค์” เป็นสะพานไม้เวียนรอบจากเชิงเขาขึ้นสู่ยอดภูทอกน้อยที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 350 เมตร (ยอดภูทอกน้อยมีระดับความสูงใกล้เคียงกับตึก 60 – 70 ชั้น) สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากเหล่าพระ เณร และชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่โดยรอบบริเวณภูทอก เริ่มต้นการสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2512 ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปีจึงแล้วเสร็จ พระอาจารย์จวนผู้บุกเบิกการก่อสร้างวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) หวังจะให้สะพานแห่งนี้สื่อความหมายในแง่ที่ว่า ผู้ซึ่งจะเดินไปตามเส้นทางธรรมที่สามารถน้อมนำให้สัตบุรุษหลุดพ้นไปจากความ ทุกข์ทั้งปวงจนอยู่เหนือโลกได้นั้น จะต้องเป็นผู้มีความเพียรพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่น อีกทั้งยังต้องรู้จักประคับประคอง ควบคุม รักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ให้จงดี ไม่ยอมให้ตนเองตกอยู่ในความประมาท จึงจะสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ล่วงพ้นไปสู่จุดหมายในท้ายที่สุดได้ (บันได – สะพานไม้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรม , ความสูงชันเป็นดุจดั่งอุปสรรคต่าง ๆ , ยอดภูทอกน้อยเหมือนกับจุดมุ่งหมายสุดท้าย คือ ความหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง หากเดินทางด้วยประมาทขาดสติพลาดพลั้งร่วงหล่นตกลงมาระหว่างทางก็อาจจะต้อง เจ็บปวดรวดร้าวราวกับตกนรก)
“สะพานนรก – สวรรค์” มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น (สวรรค์ ตามความเชื่อทางพุทธศาสนามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ชั้น ได้แก่ จตุมหาราชิกา , ดาวดึงส์ , ยามา , ดุสิต , นิมมานรดี และ ปรนิมมิตวสวัตดี แต่การที่ “สะพานนรก – สวรรค์” มี 7 ชั้นนั้นอาจจะเพื่อสื่อความหมายว่ายังมีสภาวะที่อยู่เหนือขึ้นไปจากสวรรค์ ทั้ง 6 อีก ซึ่งก็คือ “นิพพาน” หรือ “ความพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง” นั่นเอง) แต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้
ชั้นที่ 1 – 2
เป็นเพียงแค่บันไดไม้สู่ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มมีสะพานเวียนรอบเขา
เส้นทางเดินรอบชั้นที่ 3 นี้มีโขดหิน ลานหิน โตรกผา
และไม้ยืนต้นขึ้นกางกิ่งใบให้ร่มเงาครึ้ม จากชั้นที่ 3
จะมีทางแยกสองทางโดยทางแยกด้านซ้ายมือจะเป็นบันไดทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5
ส่วนทางแยกด้านขวาจะเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4
ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองลงไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ย ๆ สลับกันเรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจรดกับ “ภูลังกา” ในเขต อ.เซกา (เดิม อ.เซกา ถือเป็นส่วนหนึ่งของ จ.หนองคาย แต่ปัจจุบันถูกแบ่งแยกออกมาอยู่ในเขต จ.บึงกาฬ เช่นเดียวกับ อ.ศรีวิไล) บนชั้น 4 นี้เป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร มีจุดให้นั่งพักผ่อนชมทิวทัศน์ระหว่างทางเป็นระยะ ๆ
ชั้นที่ 5
เป็นที่ตั้งของศาลาและกุฏิพระภิกษุสงฆ์ ตามทางเดินรอบชั้นนี้มีถ้ำตื้น ๆ
อยู่หลายถ้ำ มีลานกว้างที่สามารถนั่งพักได้อยู่หลายแห่ง
มีหน้าผาซึ่งมีชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิต , ผาเทพสถิต , ผาหัวช้าง
เป็นต้น
หากเดินไปทางด้านทิศเหนือจะได้เห็นสะพานหินธรรมชาติซึ่งทอดยาวออกไปเชื่อม
กับสะพานไม้สู่ “วิหารพระพุทธ”
วิหารที่สร้างขึ้นอย่างแปลกประหลาดพิสดารจนดูราวกับมีใครนำหินก้อนใหญ่ไปวาง
ทับไว้บนหลังคาวิหาร
วิหารพระพุทธนี้เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและถือเป็นจุดชมทิวทัศน์
ซึ่งมีความงดงามมากที่สุดบนภูทอกน้อยเลยทีเดียว (ทีม
งานท่องเที่ยวดอทคอมแนะนำว่า “วิหารพระพุทธ” คือ สถานที่ซึ่งทุก ๆ
คนที่สู้อุตส่าห์เดินขึ้น “สะพานนรก – สวรรค์” มา
ไม่ควรพลาดการแวะเยี่ยมชมอย่างยิ่งครับ)
จากวิหารพระพุทธจะสามารถมองเห็นแนวของ “ภูทอกใหญ่” ที่วางตัวอยู่ใกล้ ๆ ได้อย่างชัดเจน
ผู้ซึ่งเดินขึ้นมาตาม “สะพานนรก – สวรรค์”
ส่วนใหญ่มักจะหยุดการเดินทางอยู่เพียงแค่ชั้นที่ 5 เนื่องจากชั้นที่ 6
เป็นสะพานไม้แคบ ๆ เวียนรอบเขาเกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชันดูน่าหวาดเสียว
แต่หากลองแข็งใจเดินขึ้นมายังสะพานชั้นที่ 6 ดูก็จะพบกับจุดชมทิวทัศน์สวย ๆ
ที่สามารถถ่ายภาพ “วิหารพระพุทธ” จากมุมสูงได้ สะพานชั้นที่ 6
นี้มีความยาวรอบเขาทั้งหมดประมาณ 400 เมตร (สะพานชั้นที่ 6 มีความยาวใกล้เคียงกับสะพานชั้นที่ 4) และมีบันไดไม้ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดภูทอกน้อยเป็นชั้นสุดท้าย
บริเวณยอดภูทอกน้อยมีแมกไม้ใหญ่น้อยขึ้นยืนต้นบดบัง ทัศนียภาพโดยรอบทำให้ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ เบื้องล่างได้ชัดเจนนัก แต่ก็มีทางดินที่สามารถเดินไปชมความงดงามของวิหารพระพุทธจากมุมสูงได้เช่น เดียวกับบริเวณสะพานนรก – สวรรค์ชั้นที่ 6 ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมแนะนำว่าหากคุณรู้สึกว่าเรี่ยวแรงภายในร่างกายเริ่ม หดหายคล้ายจะเป็นลมหน้ามืดก็คงไม่จำเป็นต้องเดินทนขึ้นมาถึงยอดภูทอกน้อยก็ ได้ เพราะจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดบนภูทอกน้อยนั้นอยู่บริเวณสะพานนรก – สวรรค์ชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 6 ไม่ใช่จุดชมทิวทัศน์บนยอดภูทอกน้อยดังที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันแต่อย่างใด..
บริเวณยอดภูทอกน้อยมีแมกไม้ใหญ่น้อยขึ้นยืนต้นบดบัง ทัศนียภาพโดยรอบทำให้ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ เบื้องล่างได้ชัดเจนนัก แต่ก็มีทางดินที่สามารถเดินไปชมความงดงามของวิหารพระพุทธจากมุมสูงได้เช่น เดียวกับบริเวณสะพานนรก – สวรรค์ชั้นที่ 6 ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมแนะนำว่าหากคุณรู้สึกว่าเรี่ยวแรงภายในร่างกายเริ่ม หดหายคล้ายจะเป็นลมหน้ามืดก็คงไม่จำเป็นต้องเดินทนขึ้นมาถึงยอดภูทอกน้อยก็ ได้ เพราะจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดบนภูทอกน้อยนั้นอยู่บริเวณสะพานนรก – สวรรค์ชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 6 ไม่ใช่จุดชมทิวทัศน์บนยอดภูทอกน้อยดังที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันแต่อย่างใด..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น